รีวิว Priest เนื้อเรื่องของหนังคล้ายกับ Judge Dredd และ Blade Runner โดยที่วายร้ายเป็นแวมไพร์ และเมื่อสงครามระหว่างผู้คนกับแวมไพร์สิ้นสุดลง นักบวชก็หมดหน้าที่ และศาสนจักรประกาศว่าแวมไพร์พ่ายแพ้แล้ว แต่ฉันเดาได้ ว่ายังไม่จบ และล่าสุดก็บุกเข้ายึดลูซี่ (ลิลี่ คอลลินส์) หลานสาวของนักบวชในตำนานนิรนาม (พอล เบตตานี)
ทันทีที่เขาได้ยินข่าว เขาขออนุญาตผู้นำศาสนจักรทันทีให้ออกไปช่วยและฆ่าแวมไพร์ แต่ถูกปฏิเสธ จนหลวงพี่ต้องไปโรงพยาบาลคนเดียวเพื่อช่วยหลานชายและกำจัดแวมไพร์อีกครั้ง
หนังก็สนุกน่าดู แม้ว่าเรื่องราวจะคาดเดาได้ แต่ผู้กำกับสจ๊วร์ตก็สามารถเพิ่มฉากแอคชั่นที่น่าตื่นเต้นเพื่อดึงดูดความสนใจได้อย่างต่อเนื่อง และพอลก็เป็นนักแสดงที่ดีเช่นกัน ถือว่าเป็นตัวละครที่ดู “อะไร” มากกว่าตอนเล่น Legion ซะอีก เนื้อเรื่องจะออกมาพร้อมกับเทพผู้ไร้หัวใจที่มาสู้กันเท่านั้น แต่ด้วยสิ่งนี้ เขามีจังหวะที่เจ๋งกว่าเยอะ เช่น ก่อนออกไปต่อสู้จะมีการสวดมนต์บ้าง อ่านบทสวดบ้าง บทพูดยั่วยุ ซึ่งเป็นอาวุธทุกประเภท ทั้งแบบลับและเปิดเผย ไม่ใช่เรื่องยากที่คนจะเชื่อว่าหลวงพี่เป็นมือปราบในตำนานจริงๆ
ถ้าเป็นตัวละครหลักก็ไม่เลวที่จะทำ การผลิตงานเป็นอนาคต ทั้งในและนอกเมือง ได้อารมณ์ Blade Runner ผสมกับ Mad Max ได้ดี ดาวสนับสนุนมีความหมาย สิ่งที่ฉันชอบคือ Karl Urban และวายร้าย Black Hat คุณดูเลือดเย็นและสมบูรณ์แบบ แต่ผมค่อนข้างติดตอนจบของการต่อสู้ตอนที่ท่านชาและหลวงพี่ไม่พอใจมาก
หนังเรื่องนี้ยังมาพร้อมกับประเด็นรอง ปม (คุ้นเคย) ของความพยายามที่จะควบคุมคริสตจักร ว่าถึงแม้ตำแหน่งเป็นตัวแทนของพระเจ้าแต่แสร้งทำเป็นพระเจ้าเอง หรือตัวร้ายอย่างแบล็กแฮทก็ยังมีเหตุผลในการเป็นผู้ร้าย กำลังจะหันไปศรัทธาในแวมไพร์ผู้มอบความเป็นอมตะ ในขณะที่พระเจ้าไม่เคยให้โอกาสเช่นนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นจุดที่คุ้นเคยมากที่เราเจอในภาพยนตร์ที่มีหัวข้อทางศาสนามากมาย
แต่มันเป็นบันทึกเบื้องต้น ในหนังไม่ได้ทำให้คุณคิดมากไปกว่านี้ (มองในแง่ที่ว่า คนทำตั้งใจให้คนดูคิดไปเอง อะไรประมาณนั้น) ถ้าถามว่า Priest หรือ Legion อันไหนดีกว่ากัน คงต้องถามว่า “ใกล้เคียงกัน” เพราะมีทั้งดีและไม่ดีของแต่ละคน แต่พอลบออกก็รู้สึกเหมือนเดิม
รีวิว Priest ถือว่าเหนือกว่า Legion เนื่องจากตัวละครหลักมีมิติมากกว่า คุณสมบัติเพิ่มเติมในการต่อสู้ (อาวุธลับ ถือว่าเพิ่มเติมนิดหน่อย) และจังหวะของเรื่องราวที่เปิดเรื่องราวได้ค่อนข้างเร็ว จนทำให้คนมองเห็นได้มากพอที่จะมองข้ามจุดบอดและทำงานเกี่ยวกับ Effect and Production ภาพเมืองหรือภูมิทัศน์กลางทะเลทรายก็สมเหตุสมผล
แต่จุดอ่อนคือ หนังยังแน่นกว่านี้เยอะ เบาะแสหรือมิติของตัวละครอื่น ๆ นอกเหนือจากตัวเอกนั้นไม่มากนัก ต่างจาก Legion ที่ตัวละครมีเงื่อนงำในใจเพื่อให้ผู้ชมจดจำ ทำให้นอกจาก King Buster และ Black Hat ผู้ร่วมสมทบคนอื่นๆ จะไม่โดดเด่นเท่าที่ควร
และจุดอ่อนของการตกที่นั่งเดียวกับ Legion คือ ตัวร้ายก็เท่ แต่จุดไคลแม็กซ์ของการต่อสู้ยังไม่เต็มอารมณ์ เรื่องนี้น่าเสียดาย เพราะหลวงพี่มีเล่ห์เหลี่ยมที่ดีและเหมาะสม ขณะที่แบล็กแฮทดูเก๋าและดูดี แต่ทริคหรือแทคติคไม่แปลกมาก
พล็อตเรื่องรองที่น่าสนใจ ฉันปล่อยให้มันหายไปอย่างดื้อรั้น เบาะแสเกี่ยวกับผู้คนของพระเจ้าและพวกนอกรีต (แวมไพร์) การปิดตาของผู้นำ การดูถูกนักบวชที่ไม่เป็นธรรมหลังจากถูกปลด (สะท้อนให้เห็นเป็นเพียงเครื่องมือ มากกว่าที่จะเป็นนักรบที่ทรงคุณค่า
มนุษย์ผู้เสียสละที่มีชะตากรรมคล้ายกับนักรบเทมพลาร์มาก หากเล่นประเด็นนี้ได้ดี การเสียสละของผู้เฒ่าในเรื่องจะน่าตกใจกว่ามาก เพราะพวกเขาเต็มใจทำความดีแม้ในความตายและไม่มีคำชมใดๆ) แรงบันดาลใจที่จะเปลี่ยนความเชื่อของแบล็กแฮท เป็นต้น